Our believe
เราเข้าใจว่า การเลือกซื้อเพชรเป็นการตัดสินใจที่ไม่ง่ายสำหรับใครหลายๆคน
เนื่องจากมูลค่าของตัวอัญมณีเอง
แถมบ่อยครั้งที่เพชรยังเป็นสิ่งของแทนใจในความรักหลายๆรูปแบบ
ดังนั้นเราอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้การตัดสินใจครั้งนี้ของคุณง่ายขึ้น
เราจึงขอใช้โอกาสนี้ในการอธิบายถึงปัจจัยในการเลือกซื้อเพชร
ที่จะทำให้การเลือกซื้อเพชรครั้งนี้ของคุณ เป็นการตัดสินใจที่คุณจะรู้สึกภูมิใจและมั่นใจว่าสมบัติชิ้นนี้จะอยู่กับคุณ และพร้อมที่จะสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น
The typical 4Cs that most people still get wrong…
คำถามที่เราเจอบ่อยที่สุดคือ
“อะไรที่สำคัญที่สุดใน 4C?”
คำตอบที่เรามักให้กับลูกค้าของเราคือ
“To balance all of the 4Cs”
เพราะเราเชื่อว่าไม่มีอะไรสำคัญกว่าอะไร
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ KOLMES เลือกเฉพาะเพชรที่ดีที่สุดในทุกๆด้านเพื่อคุณในราคาที่สมเหตุสมผลที่สุด
เพราะเราเชื่อว่า
“You don’t always have to pay a premium for the best quality”
ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าคุณให้ความสำคัญกับ carat มากที่สุด
เพชรของคุณก็อาจจะใหญ่แต่เหลือง
ถ้าคุณให้ความสำคัญกับ color มากกว่า cut
เพชรของคุณก็อาจจะขาว แต่การเปล่งประกาย และการเล่นไฟ หรือที่เรียกกันว่า luster ที่ได้มาจาก cut ที่เป็นเลิศก็อาจจะลดน้อยลง
ซึ่งทำให้เพชรเม็ดนั้นไม่ใช่เพชรที่ประกายแวววาวที่สุด
แต่ความสวยงามของเพชรอีกอย่างหนึ่งที่ใครหลายๆคนหลงใหล
ก็คือประกายของมันไม่ใช่หรือ
shape
ก่อนที่จะเริ่มเข้าใจ 4Cs นั้น เราควรจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับรูปทรงต่างๆของเพชรกันก่อน เพชรมีทั้งหมด 10 รูปทรง และแต่ละรูปทรงก็มีความหมาย และเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไป
เพชรทรงกลม ทรงที่สุดคลาสสิก อยู่เหนือกาลเวลา ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน เพชรทรงกลมก็ยังได้รับความนิยมที่สุด ไม่ว่าจะสำหรับแหวนแต่งงาน หรือว่าแหวนในชีวิตประจำวันก็ตาม เพชรทรงกลมครองตำแหน่งในเรื่องของความสวยงามของประกายเพชร ที่ส่องประกายแวววาวสวยกว่าเพชรทรงอื่นๆ
shop this shapeทรง Oval หรือที่คนไทยเรียกกันว่า “เพชรทรงไข่” เพชรทรงนี้มีหน้าเพชรที่ใหญ่กว่ารูปทรงอื่น ในน้ำหนักเดียวกัน ทำให้ดูขนาดใหญ่กว่าทรงอื่นๆ แถมเพชรทรงนี้ยังมีประกายที่สวยงาม คล้ายคลึงกันกับเพชรทรงกลมอีกด้วย
shop this shapeหรือที่คนไทยรู้จักกันว่า “เพชรทรงหยดน้ำ” ให้ประกายที่สวยงาม คล้ายกันกับเพชรทรงกลม แถมยังนับว่าเป็นเพชรที่มีหน้า facet ใหญ่อีกด้วย
shop this shapeเพชรรูปหัวใจ เป็นเพชรทรง Fancy shape ที่ราคาสูงที่สุด เทียบกันกับ Fancy shape ทรงอื่นๆ เป็นทรงที่พัฒนาต่อมาจากทรง Pear shape เนื่องจากมีลักษณะเหมือนนำ Pear shape 2 ชิ้นมาประกบกัน เพชรทรงหัวใจ ยังให้ประกายที่สวยงามไม่แพ้กันกับทรง Pear และ Oval เลย
shop this shape“เพชรทรงเม็ดข้าวสาร” เป็นทรงที่พัฒนามาจากทรง Oval โดยการปรับให้มีทรงที่รีขึ้น พร้อมด้วยปลายแหลมทั้งสองฝั่ง เพชรทรงมาคี ถือว่าเป็นเพชรที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เมื่อเทียบกันกับน้ำหนักเดียวกันของทรงอื่นๆ
shop this shapeหรือที่คนไทยเรียกกันว่า “เพชรทรงหมอน” มีทั้งเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส และสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ความต่างอยู่ตรงที่เหลี่ยม เพชรทรง Cushion นี้เหลี่ยมจะมน เพชรทรง Cushion จะได้รับการเจียระไนคล้ายเพชรทรงกลม ทำให้มีประกายที่สวยงามคล้ายคลึงกันกับเพชรทรงกลม
shop this shapeเพชรทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส หนึ่งในเพชรทรงสี่เหลี่ยมทั้งหลาย ด้วยการเจียระไนของเพชรทรงนี้ ทำให้เพชรทรง Princess ส่องประกายแวววาวสวยงามกว่าใครเพื่อนในบรรดาเพชรทรงสี่เหลี่ยมทั้งหลาย
shop this shapeเป็นเพชรรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่เป็นการเจียระไนแบบขั้นบันไดเหมือนทรง Emerald พร้อมด้วยขอบที่ถูกตัดออกไป พูดง่ายๆคือ เพชรทรง Asscher คือเพชรทรงที่คล้ายกับเพชรทรง Emerald ที่เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส
shop this shapeเพชรทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เป็นที่นิยมในการทำ Eternity Ring รองจากเพชรทรงกลม เนื่องจากเพชรทรงนี้เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าตัดมุม จึงทำให้เพชรดูใหญ่กว่าเพชรทรงอื่นๆ ในน้ำหนักที่เท่ากัน เพชรทรง Emerald เป็นเพชรที่ facet ใหญ่ บวกกับการเจียระไนแบบขั้นบันได ที่เน้นความสวยงามของความสะอาดของเพชรมากกว่าประกาย
shop this shapeมีรูปทรงลักษณะคล้ายกันกับ Emerald และ Asscher คือมีทั้งรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าและจัตุรัส ที่ถูกตัดเหลี่ยมออกไป แต่ถูกเจียระไนคล้ายกันกับ Princess ดังนั้นเพชรทรงนี้จึงมีประกายที่สวยงามแวววาวกว่าการเจียระไนแบบขั้นบันได
shop this shapecut
Cut เป็นปัจจัยที่จะบอกว่า เพชรของคุณจะส่องประกาย เล่นไฟ สวยงามเท่าไหร่
ซึ่งเป็นปัจจัยที่ใครหลายๆคนมักจะมองข้าม หรือไม่ได้ให้ความสำคัญ เท่ากับขนาดของเพชร หรือว่า ความขาวของเพชร คนส่วนใหญ่มักจะไปให้ความสำคัญกับว่า เพชรใหญ่เท่าไหร่ น้ำอะไร แต่ลืมนึกไปว่า ถ้าเกิดเพชรคุณใหญ่ ขาว แต่ไม่มีประกาย ไม่มี luster ไม่เล่นไฟ เพชรเม็ดนั้นก็จะไม่ส่องประกายความงามของเขาออกมา
ซึ่งประกาย และการเล่นไฟของเพชรนั้นเป็นเสน่ห์หลักของเพชร ที่ทำให้ใครหลายๆคนหลงใหลในอัญมณีนี้ ไม่ใช่หรือ
ซึ่งเพชรที่เป็น Round shape กับ Fancy shape ก็มี cut ที่แตกต่างกันออกไป
ส่วนประกอบของ cut มีดังนี้
1) Proportion
2) Polish
3) Symmetry
ซึ่งในเพชรที่เป็น fancy shape จะถูกตัดการเกรดของ Proportion ออกไป เหลือแค่ Polish และ Symmetry
KOLMES standard
KOLMES standard
DIAMOND CUT CHART
ลูกค้าบางท่านได้รับการ educate เกี่ยวกับ cut ของเพชรมาแบบไม่ถูกต้อง
บางท่านเข้าใจว่า การเลือกซื้อเพชรคือต้องเลือกเพชรที่มี หน้าเพชรใหญ่ๆ หรือที่เรียกกันว่า table เพื่อที่จะทำให้เพชรดูใหญ่กว่าน้ำหนักของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น การเลือกซื้อเพชรที่ 1กะรัต แต่เลือกที่หน้าใหญ่กว่า เพชร 1 กะรัตปกติ ก็จะหลอกตาดูว่า เพชรเม็ดนั้นใหญ่กว่าไซส์ 1 กะรัต เมื่อขึ้นตัวเรือนแล้วใส่ขึ้นมา
แต่ในความเป็นจริงนั้น การเลือกเพชรที่หน้าใหญ่ จะทำให้เพชรเม็ดนั้นตื้นขึ้น เพราะว่าน้ำหนักได้ไปอยู่ที่หน้าเพชรเป็นส่วนใหญ่ ผลที่ตามมาก็คือ คุณจะได้เพชรที่ขนาดดูใหญ่กว่าไซส์ของตัวเองนิดหน่อย แต่ว่าการส่องประกาย เล่นไฟของเพชรเม็ดนั้นจะลดลง เพราะว่า เพชรเม็ดนั้นจะไม่มีพื้นที่ให้แสงที่เข้าไป ได้หักเหแสง และประกายออกมาเป็นการเล่นไฟที่สวยงาม
นี่ก็คือ เหตุผลที่ เราคอยพูดกับลูกค้าของเราอยู่เสมอๆว่า
ทุกๆปัจจัยของ 4Cs สำคัญเท่าๆกัน และหลักในการซื้อเพชรที่สำคัญที่สุดคือ การ balance all of the 4Cs together
clarity
คำพูดที่คุณลูกค้ามักจะพูดกับเราคือ
“ความสะอาด ไม่ต้องดีมากหรอก ไม่มีใครเอากล้องขยายมาส่องเวลาที่เราใส่หรอก”
เราต้องขอแจ้งว่า เป็นความเข้าใจที่ ทั้งถูกและผิด
ถูกคือ - ไม่มีใครเขากล้าเสียมารยาทหยิบกล้องขยายมาส่องเวลาที่คุณใส่เครื่องประดับอยู่หรอก หรือถ้าเกิดวันนั้นเกิดขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่า
ทุกๆคนสามารถดูความสะอาดของเพชรเป็น
แต่สิ่งที่ใครหลายๆคนยังไม่รู้เกี่ยวกับ “ความสะอาด” ของเพชรคือ ความหมายของคำนี้ไม่ใช่แค่ว่า เพชรของคุณมีตำหนิมากน้อยเพียงใด มีรอยเยอะไหม แต่ความสะอาดในที่นี้หมายถึงมลทินที่อยู่ในอัญมณีชิ้นนั้นๆ ซึ่งบางที ความสะอาดส่งผลต่อ ความทนทานของอัญมณีชิ้นนั้นๆด้วย
ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าเพชรเม็ดนั้นมีตำหนิที่ขอบของเพชร และถ้าเกิดเป็นตำหนิใหญ่ และเป็นตำหนิประเภท xx
ก็อาจส่งผลต่อความทนทานของเพชรเม็ดนั้น มีโอกาสที่เพชรอาจจะบิ่นได้ ถ้าเกิดไม่ได้มีการดูแลรักษาที่ถูกต้อง
KOLMES standard
KOLMES standard
color
ปัจจัยที่สามของ 4Cs – Color
หรือที่คนไทยเรียกกันจนติดปากว่า “น้ำ”
เรื่องของสีนั้น คงไม่ต้องอธิบายกันเยอะ
ถ้าเรียกกันเป็นน้ำแบบคนไทย เพชรจะเริ่มต้นที่น้ำ 100 สูงที่สุด แล้วก็ลดหลั่นลงมาเรื่อยๆ เป็น 99-98-97 ต่อไปนั่นเอง
แต่ถ้าเรียกกันแบบสากล เพชรจะเริ่มต้นที่ตัวอักษรภาษาอังกฤษว่า D แล้วค่อยไล่ลงไปเรื่อยๆ เป็น D-E-F-G ลดหลั่นลงไปตามลำดับ ซึ่งสี D ก็เทียบเท่ากันกับ น้ำ 100 ที่คนไทยพูดกัน
ซึ่งแน่นอน สีของเพชรก็เป็นอีกปัจจัยหลักในการเลือกซื้อเพชร และเป็นอีกปัจจัยหลักที่เป็นตัวชี้ราคาของเพชรเม็ดนั้นๆ
ซึ่งแน่นอน ยิ่งเพชรเม็ดนั้นขาวมากเท่าไหร่ ราคาก็ยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น
บางทีการเลือกซื้อเพชรน้ำ 100 ราคาจะเท่ากันกับการที่คุณเลือกซื้อเพชรน้ำ 96 จำนวน2เม็ดเลยทีเดียว
KOLMES standard
carat
มาถึงปัจจัยสุดท้ายของ 4Cs
ซึ่งเป็นปัจจัยที่คิดว่า ไม่ต้องพูดเยอะ
คุณลูกค้าทุกท่านก็คงเข้าใจกันดีอยู่แล้ว
นั่นก็คือ carat
แต่สิ่งที่ใครหลายๆคนมักเข้าใจผิด
คือ
Carat หมายถึง น้ำหนักของเพชรเม็ดนั้นๆ ไม่ใช่ขนาดของเพชรเม็ดนั้นๆ
ซึ่งหลังจากที่คุณลูกค้าได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับ 3Cs ก่อนหน้านี้มาแล้วนั้น
คุณก็พร้อมที่จะเลือกปัจจัยสุดท้ายในการเลือกซื้อเพชร นั่นก็คือ น้ำหนักของเพชรที่คุณต้องการ
เรามีเกล็ดความรู้เล็กๆน้อยๆมาฝากคุณลูกค้า เวลาที่เลือกน้ำหนักของเพชร
1) หลีกเลี่ยงเพชรที่น้ำหนัก .00 พอดีเป๊ะ
เนื่องจากว่า ถ้าเกิดเพชรของคุณน้ำหนัก ยกตัวอย่างเช่น 2.00 กะรัตพอดี
ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเพชรของคุณ เพชรของคุณจะน้ำหนักตกไซส์ทันที
2) เพชรที่น้ำหนักอยู่ปลายๆ อย่างเช่น 2.80 หรือ 2.90 เราจะเรียก เพชรเหล่านี้ว่า “premium size” เนื่องจากว่า ถ้าคุณเพิ่มอีก 0.10-0.20กะรัต ราคาจะสูงขึ้นอีกเป็นเท่าตัว แต่เมื่อมองด้วยตาเปล่านั้น ยากที่จะบอกว่ามันเป็นไซส์ 2.90 กะรัต หรือว่า 3กะรัตกันแน่
ดังนั้นเมื่อไหร่ที่คุณเจอเพชรน้ำหนักแบบนี้นั้น เตรียมกระเป๋าตังค์ของคุณเอาไว้ให้พร้อม ซึ่งแน่นอน เพชรน้ำหนักแบบนี้นั้นเป็นของหายาก เพราะใครๆก็อยากได้ใช่ไหมล่ะ
Fluorescence
Fluorescence คืออะไร?
เพชรที่มี fluorescence คือเพชรที่มีประกายสีฟ้า-น้ำเงิน เมื่ออยู่ภายใต้แสง Ultra Violette หรือที่เรียกกันว่า รังสี UV นั่นเอง
ซึ่งคำถามที่เราพบบ่อยคือ “เพชรที่มี fluorescence คือเพชรที่ดีหรือไม่ดี” เราต้องเรียนว่า เพชรที่มี fluorescence ไม่ใช่ว่าดีหรือไม่ดี ในเพชรสี D-H ส่วนใหญ่ เพชรที่มี fluorescence มักจะไม่เป็นที่นิยม เพราะว่า แสงสีฟ้านี้มักจะทำtให้เพชรดูมัว แม้ในเพชรที่มี clarity ที่ดี ในทางกลับกัน เพชรในช่วงสีระหว่าง I-M เพชรที่มี fluorescence มักได้รับความนิยม เนื่องจากแสงประกายสีฟ้านี้มักจะช่วยให้เพชรที่ติดสีเหลืองดูขาวขึ้นได้ ดังนั้นเพชรที่อยู่ในช่วงสี I-M ที่มี
fluorescence มักได้รับความนิยม และถูกขายในราคาที่แพงกว่าเพชรที่ไม่มี fluorescence
รายละเอียดและเกล็ดความรู้เหล่านี้ ได้มาจากประสบการณ์ที่ยาวนานนับครึ่งศตวรรษ ด้วยความตั้งใจที่เราอยากส่งมอบแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้กับคุณลูกค้าของเรา KOLMES ใส่ใจในทุกๆรายละเอียดของเครื่องประดับ และคัดสรรเฉพาะเพชรคุณภาพเลิศเพื่อคุณเท่านั้น
diamond certificate


ใบรับรองเพชร (certificate) เป็นเอกสารระบุข้อมูลโดยละเอียดของเพชรแต่ละเม็ด ที่ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ น้ำหนัก สี ความสะอาดหรือตำหนิ และการเจียระไนของเพชรเม็ดนั้นๆ
การเลือกซื้อเพชรที่มีใบ certificate จากสถาบันไม่ว่าจะเป็น GIA (Gemological Institute of America) จากประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ HRD Antwerp (Hoge Raad voor Diamant) ที่ตั้งอยู่ที่เมือง Antwerp ของประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งเป็นเมืองหลักเมืองหนึ่งในการซื้อขายเพชร
ก็เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับคุณลูกค้า ว่าคุณจะได้เพชรที่ตรงกับมาตรฐานสากลที่ทางสถาบันได้รับรองมาแล้ว
และด้วยวิวัฒนาการในเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น เพชรทุกเม็ดที่ได้รับการรับรองจากทางสถาบัน จะถูกเลเซอร์เลขรหัสอยู่ที่ขอบเพชรเม็ดนั้นๆ เพื่อให้คุณลูกค้าได้มั่นใจว่า เอกสารใบรับรองและตัวเพชรนั้นเป็นชุดเดียวกัน
ซึ่งการออกใบรับรองจากสถาบันนั้น จะเริ่มต้นที่เพชรขนาด 0.30carat เป็นต้นไป
how to check gia certificate

1. GIA Diamond Grading Report
ในส่วนนี้จะบอกข้อมูลหลักๆของเพชร ดังนี้ Report Number - เป็นเหมือน serial number ที่จะบอกรหัสของเพชรเม็ดนั้นๆ ซึ่งเลขดังกล่าวจะถูกแกะสลักด้วยเลเซอร์อยู่ที่ขอบเพชรอีกด้วย เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับคุณลูกค้าว่าคุณได้เพชรเม็ดเดียวกันกับใบรับรองของทางสถาบัน Shape - รูปร่างของเพชรว่าเป็นทรงอะไร Measurement - ขนาดของเพชร
2. Grading Results
ตรงนี้จะพูดถึง 4Cs ของเพชร ซึ่งประกอบด้วย Carat, Color, Clarity, and Cut
3. Additional Grading Information
ส่วนนี้จะพูดถึงข้อมูลของเพชรในรายละเอียดที่ลึกลงไป รวมถึง Fluorescence ว่าเพชรมีการเรืองแสงหรือไม่ และที่สำคัญคือ พูดถึงตำหนิ หรือที่เรียกกันในภาษาทางการว่า inclusions หรือ clarity ใน 4Cs นั่นเอง ในส่วนนี้ ใบรับรองคุณภาพจากสถาบันจะระบุถึงประเภทของ inclusions ต่างๆลงตรงนี้
4. Clarity Characteristics
Gemologists ของทางสถาบันจะ mark ตำแหน่งของ inclusions หรือตำหนิต่างๆของตัวเพชรไว้ที่ diagram เพื่อระบุถึงตำแหน่งของ inclusions ในเพชรเม็ดนั้นๆ Note: การ mark ตำแหน่งของ inclusions นั้น gemologist ใช้ปากกาในการ mark ตำแหน่ง ซึ่งอาจจะไม่ได้ถูกสัดส่วนกันกับขนาดของ inclusions ในอัตราส่วน 1:1
5. Grading scales
ตารางโชว์ลำดับขั้นของ color, clarity และ cut
Wedding Ring Types
แหวนแต่งงานที่ดูเหมือนว่า จะมีแบบให้เลือกเยอะแยะมากมาย จนบางทีเจ้าสาวก็ไม่สามารถที่จะตัดสินใจได้ว่าแบบไหนดี แต่ในความจริงแล้วนั้น แบบแหวนแต่งงานที่นิยมมีอยู่ด้วยกันเพียง 5 ประเภทเท่านั้น
หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันว่า “แหวนปอกมีด” นั่นเอง
ในช่วงที่ผ่านมา แหวน solitaire ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากดีไซน์ที่สุด classic และสามารถเป็น everyday wear เข้ากับทุกโอกาส ทุกการแต่งตัว จึงทำให้ดีไซน์เรียบๆ แต่หรูของแหวน solitaire นั้นกำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มว่าที่เจ้าสาว
แหวน Solitaire ยังมีดีไซน์ที่ให้เพชรเม็ดหลักได้ส่องประกาย โดดเด่น ได้อย่างเต็มที่
ซึ่งว่าที่เจ้าสาวส่วนใหญ่นั้น มักจะนิยมซื้อแหวน solitaire ไปใส่คู่กันกับ eternity ring เนื่องจากว่า ในวันไหนที่อยากแต่งตัว casual สบายๆ ก็สามารถใส่แค่ eternity ring ได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่า จะดูเยอะเกินไปหรือเปล่า
นอกเหนือจากดีไซน์ที่เรียบง่าย เป็นอมตะเหนือกาลเวลาแล้วนั้น แหวน solitaire ยังได้รับความนิยมเนื่องจากความหมายของตัวแหวนเองอีกด้วย
ว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวหลายคู่ เลือกแหวน solitaire เนื่องจากความหมายที่ซ่อนอยู่ในตัวแหวนประเภทนี้ ที่สื่อถึงความรักที่รักเดียวใจเดียว

แหวนประเภทนี้คือ แหวนที่ใช้เพชรเม็ดเล็กๆล้อมเพชรเม็ดหลัก ช่วยให้เพชรเม็ดหลักดูเด่น และใหญ่มากยิ่งขึ้น
แหวน Halo ยังเหมาะกับเพชรเม็ดหลักทุกๆ shape ไม่ว่าจะเป็น Round, Oval, Marquise หรือแม้แต่ทรงเหลี่ยมอย่าง Emerald หรือ Princess
ลูกค้าบางท่านที่ต้องการความโดดเด่นของเพชรเม็ดกลางมากขึ้นไปอีก ก็สามารถสั่งทำเป็นแหวน Double Halo ได้เช่นกัน

หรือที่เรียกกันว่า “แหวนบ่าข้าง” เป็นแบบแหวนแต่งงานที่คนไทยนิยมมากที่สุดตั้งแต่ไหนแต่ไร เป็นทรงที่สุด classic
ทรงนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบดีไซน์ที่เรียบง่ายแบบ solitaire style แต่ยังต้องการให้มีประกาย ระยิบระยับ เพิ่มขึ้นอีกนิดนึง
แหวนทรงนี้ยังเหมาะกับเพชรทุกๆรูปทรง ไม่ว่าจะเป็นทรง Round, Oval หรือเพชรทรงสี่เหลี่ยมไม่ว่าจะเป็นทรง Princess หรือ Emerald ก็ตาม
แหวนประเภทนี้ มีความหมายสื่อถึงบริวาร มีลูกหลานสนับสนุน มีความสุขสบาย

แหวนประเภทนี้คือ แหวนที่มีด้วยกัน 3เม็ด โดยที่เม็ดกลางเป็นเพชรเม็ดหลักที่ใหญ่ที่สุด แล้วประกบข้างด้วยเพชรที่ขนาดลดหลั่นกันลงมา ทั้งสองข้าง
ขนาดที่นิยมสำหรับแหวนประเภทนี้คือ เม็ดกลางขนาด 1กะรัต แล้วประกบข้างด้วย เพชรขนาด 0.70กะรัต
หรือเพชรเม็ดกลางขนาด 0.70กะรัต แล้วประกบข้างด้วยเพชรขนาด 0.50กะรัต
ความหมายสุดพิเศษสำหรับแหวนแต่งงานประเภทนี้คือ ความรักที่อยู่เหนือกาลเวลา ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
เพชรที่ประกบทั้งสองข้าง สามารถ customize เป็นทรงกลม หรือทรง Taper ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน

เพราะคุณไม่เหมือนใคร แหวนของคุณจึงต้องแตกต่าง
ถ้าแบบแหวนเหล่านี้ยังไม่บ่งบอกถึงตัวตนของคุณ KOLMES พร้อมที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับคุณ ให้คุณได้สามารถ customize แบบแหวนได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้แหวนวงนี้ ได้เล่าเรื่องราวความรัก และตัวตนของคุณออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
BUDGET ADVISORY
หลายๆคนคงเคยได้ยิน theory ที่ว่า “แหวนแต่งงานควรมีมูลค่าเท่าจำนวนเงินเดือน 3เดือน”
คำพูดนี้เป็นหนึ่งใน campaign โฆษณา เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว...
แต่เราเชื่อว่า ไม่มีกฎหรือความเชื่ออะไรที่ดีที่สุดสำหรับทุกๆคน เพราะลูกค้าทุกคนแตกต่าง และมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน
ดังนั้นเราจึงเชื่อว่า กฎที่ดีที่สุดคือ ตั้งbudget ที่คุณรู้สึกสบายใจ และเหมาะสมกับคู่ของคุณที่สุด แล้วเราจะทำให้เครื่องประดับของคุณดูสวยงามและน่าประทับใจที่สุด เพื่อวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตคุณ และทุกๆวันหลังจากนั้น

20% Bracelet / Necklace

30% Earrings

50% Engagement Ring
how to measure ring size
Option #1
อุปกรณ์ที่ต้องใช้
1. แหวนของคุณที่สามารถใส่ได้พอดี
2. ไม้บรรทัด
วิธีการ
1. วัดเส้นผ่านศูนย์กลางของแหวน โดยวัดจากขอบด้านใน (ของแหวนที่ใส่หรือมีอยู่แล้ว) หน่วยเป็นมิลลิเมตร (mm.)
2. ได้ค่าเท่าไหร่นำมาเทียบตามตาราง

Option #2
อุปกรณ์ที่ต้องใช้
1. กระดาษกว้างประมาณ 5 ซม.
2. ไม้บรรทัด
3. ปากกา
วิธีการ
1. ใช้เชือกหรือตัดกระดาษมาพันรอบนิ้วให้พอดี (ถ้าข้อนิ้วใหญ่ควรวัดที่ข้อนิ้วเป็นหลัก)

2. ทำเครื่องหมายตรงตำแหน่งที่พอดี

3. นำเชือกหรือกระดาษที่ได้มาทาบกับไม้บรรทัด ได้ผลเป็น มม.

4. ความยาววัดได้เท่าไหร่(มม.) นำมาลบด้วย 2 นั่นคือขนาดแหวนของคุณค่ะ เช่น วัดความยาวได้ 54 มม. (เมื่อนำ 54 มาลบด้วย 2 จะได้ 52) ดังนั้นขนาดของแหวน = ประมาณ Size 52
ring size
